เชื่อไหม? ความสำเร็จในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว สามารถไปด้วยกันได้!
October 31, 2019ถ้าพูดถึงปัญหาเรื่องงานหนักจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว อาจเป็นปัญหาของชีวิตคนทำงานหลาย ๆ คน รวมถึงการทำงานที่ไมเนอร์ ฟู้ด ที่บางคนอาจเคยได้ยินถึงวัฒนธรรมการทำงานที่ท้าทายตลอดเวลา จนมองว่าที่นี่เหนื่อย หนัก โหด จนไม่มีเวลาให้ชีวิตส่วนตัวและครอบครัวแน่ ๆ
สิ่งที่คุณได้รู้มาจะเปลี่ยนไป ถ้าได้ดูเรื่องราวของคุณปุ้ย วลีพร ธนพีรศุ ผู้บริหารด้านการเงิน ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ที่คุณรู้จักดีอย่างแดรี่ควีน, สเวนเซ่นส์ และเดอะ คอฟฟี่ คลับ ที่จะทำให้คุณเข้าใจสไตล์การทำงานที่นี่ได้ชัดขึ้น เพราะเธอไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตส่วนตัวและครอบครัวเธอด้วย!
เธอเริ่มเล่าให้ฟังว่าตอนที่ได้งานที่นี่ คนรอบข้างต่างเตือนเธอว่าทำงานที่นี่หนัก เหนื่อย คนก็แรง เวลาส่วนตัวก็จะหายไป แต่เธอยังยืนยันที่จะทำงานที่นี่ให้ได้
“แรก ๆ ไม่ได้หนักและเหนื่อยมากนะ แต่ 3 เดือนแรกอยากออกเลย!”
เธอเข้ามาทำงานที่ไมเนอร์ ฟู้ดครั้งแรกกับแบรนด์แดรี่ควีน ช่วงแรกเธอไม่ได้รู้สึกว่าหนักและเหนื่อยมากแบบที่หลายคนเตือน แต่กลับรู้สึกว่าอยากลาออกทันทีแม้จะผ่านไปแค่ 3 เดือนเท่านั้น เพราะเรื่องคน ที่เธอมองว่าคนที่นี่แรงมาก เน้นจะเอาแต่ผลงาน ทำให้เธออึดอัดและอยากลาออก
“แต่เรื่องคน กลับกลายเป็นเสน่ห์ของการทำงานที่นี่”
หลังจากนั้น เมื่อเธอทำงานที่นี่ไปเรื่อย ๆ เธอกลับค้นพบว่าจริง ๆ แล้วเรื่องคนนี่แหละที่กลายเป็นเสน่ห์ของการทำงานที่นี่ เพราะเธอได้เริ่มเรียนรู้หลาย ๆ อย่างจากทั้งผู้บริหาร หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ที่คอยสอนให้เธอคิดนอกกรอบ กล้าทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ที่นี่ให้อิสระในการทำงาน”
เมื่อเธอตั้งหลักได้ เธอจึงเดินหน้าทำงานเพื่อมอบผลลัพธ์ด้านการเงินที่ดีให้กับแดรี่ควีน และจากสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากคนที่นี่ เธอจึงไม่ได้ทำงานเฉพาะด้านการเงินเหมือน finance ทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แต่เธอยังได้รับอิสระในการทำงานอย่างเต็มที่ จนเธอรู้สึกอินกับแบรนด์ และขยายบทบาทของเธอไปทำด้านการตลาด ด้วยการหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อออกโปรโมชั่นที่น่าสนใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอสามารถบริหารการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งมอบกำไรให้กับแดรี่ควีนได้ตลอด 5 ปี
“สอนให้เราเป็น The best version of me”
อีกสิ่งหนึ่งที่เธอยอมรับว่าไมเนอร์ ฟู้ดได้เปลี่ยนแปลงตัวเธอมาจนทุกวันนี้ คือการสอนให้คนไมเนอร์ ฟู้ดทุกคนรวมทั้งตัวเธอเป็นได้ดีกว่าที่เป็น ผ่านการตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อท้าทายตัวเองอยู่ตลอด ทำให้เธอสามารถสร้างผลลัพธ์ในแบบที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะทำได้มาก่อน
“รางวัลที่ได้สะท้อนว่าผู้ใหญ่มองเห็นว่าเราทำได้มากกว่าสิ่งที่ควรทำ”
จากความสำเร็จที่เธอได้ทำตลอด 5 ปีที่อยู่กับแดรี่ควีน และทำมากกว่าบทบาทที่เธอได้รับ ทำให้ในปี 2018 เธอได้รับเลือกจากผู้บริหารระดับสูงให้คว้ารางวัลไทเกอร์ อวอร์ดส์ ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดของไมเนอร์ ที่มอบให้กับคนที่เหมาะสมที่สุดปีละครั้ง เธอยอมรับว่าการที่ผู้บริหารที่นี่มองเห็นผลงานที่เธอทำ ช่วยให้เธอมีกำลังใจและมีความสุขกับการทำงานที่นี่
“ได้รับโปรโมทให้ดูแบรนด์ที่ใหญ่ขึ้นอย่างสเวนเซ่นส์ และเดอะ คอฟฟี่ คลับ”
เมื่อเธอสร้างผลงานในเรื่องการบริหารเงินให้กับแดรี่ควีนจนเป็นที่น่าพอใจ เธอจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารให้ได้รับการโปรโมทไปดูแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่และท้าทายขึ้นอย่างสเวนเซ่นส์ และต่อมาก็ได้ขยายไปดูแบรนด์เดอะ คอฟฟี่ คลับเพิ่มด้วยเช่นกัน ทำให้ป้จจุบันเธอก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารด้านการเงินให้กับทั้ง 3 แบรนด์ของไมเนอร์ ฟู้ด นั่นคือ แดรี่ควีน สเวนเซ่นส์ และเดอะคอฟฟี่ คลับ
“ไมเนอร์ให้อิสระเราบริหารเวลาได้เอง”
นอกจากเรื่องงาน ครอบครัวคือสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับเธอ เธอยอมรับว่าการแม้การทำงานที่นี่จะมีความท้าทายอยู่ตลอด แต่ก็มีความยืดหยุ่นสูง และเปิดโอกาสให้เธอได้บริหารจัดการเวลาได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ขอเพียงแค่ผลงานต้องออกมาดี นี่คือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เธอสามารถแบ่งเวลาให้งานและครอบครัว โดยเฉพาะเวลาให้กับลูกน้อยแสนน่ารักของเธออย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เธอประสบความสำเร็จทั้งเรื่องงาน และเรื่องครอบครัว
“คิดเสมอว่าการดูแลแบรนด์ก็เหมือนดูแลลูกให้เติบโต”
สุดท้าย เธอเปรียบเทียบการดูแลและบริหารแบรนด์ทั้ง 3 เหมือนการดูแลลูกของเธอ เธอมองว่าแบรนด์ที่เธอดูแลอยู่ก็เหมือนลูกของเธอ ที่เธอจะต้องทุ่มเท ใส่ใจ เพื่อดูแลและพัฒนาให้แบรนด์เติบโตไปข้างหน้าตามที่ต้องการ