ความปกติในรูปแบบใหม่ (New Normal) : บทสะท้อนความคิดจากไมเนอร์
May 11, 2020
อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ปี 2020 นี้มาท้าท้ายทุกคนอย่างทั่วถึงกัน ไม่เพียงแต่กาารท้าทายศักยภาพของภาวะผู้นำ ยังรวมไปถึงความสามารถในการฟื้นตัวในการบริหารธุรกิจภายใต้สถานการณ์รุนแรงที่คาดเดาไม่ได้เสมือนหมอกที่มาปกคลุมไปทั่ว สถานการณ์ COVID-19 บังคับให้เราต้องทบทวนถึงสิ่งที่ต่างๆ รอบตัวและตัวเราเองว่ากำลังเปลี่ยนไปอย่างไร
ในช่วงวิกฤติ COVID-19 หลายๆ คนกำลังพูดถึง ความปกติในรูปแบบใหม่ (New Normal) แท้จริงแล้วนิวนอร์ม (นิวนอร์มอล) ที่ว่ากันนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับธุรกิจและเศรษฐกิจมาแล้ว ในวิกฤตด้านเศรษฐกิจที่รุนแรงครั้งนึงในปี 2007-2008 และเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกหลังจากนั้นในช่วงปี 2008-2012 อย่างไรก็ตาม ความปกติในรูปแบบใหม่ครั้งนี้ดูเหมือนแตกต่างจากที่ผ่านมา ผลกระทบช่างชัดเจนและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในทางที่เลวร้ายและอยู่กับเราอย่างถาวร ทั้งนี้ความท้าทายของนิวนอร์มถือเป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับพวกเราทุกคน และคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ได้ยาก
ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนนี้ด้วยกัน ไม่รู้ว่านิวนอร์มนี้จะมาในรูปแบบไหน อย่างไรก็ตามเรามั่นใจว่ามีการเปลี่ยนแปลงด้านธุรกิจอย่างแน่นอน ในขณะที่ธุรกิจบางส่วนต้องปิดตัวลง แต่นิวนอร์มยังเปิดโอกาสอีกมากสำหรับองค์กรที่คลื่อนตัวเร็วและพร้อมปรับเปลี่ยนไม่ว่าจะผู้นำองค์กรหรือบุคลากรขององค์กรเอง ทั้งนี้ ฝ่ายทรัพยากรบุคล (HR) ของ MINOR ได้ระดมความคิดและความรู้ในเชิงลึกถึงเรื่องผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนนำไปสู่ นิวนอร์ม ที่เกิดขึ้น ว่าปรับและเปลี่ยนสังคมเราไปอย่างไร
รูปแบบการทำงานแบบใหม่ (New Way of Work)
ในขณะที่มีการล็อคดาวน์รวมถึงการพัฒนาวัคซีน แต่สถานการณ์ COVID-19 ได้สร้างสิ่งใหม่ที่จะอยู่กับเราตลอดไปไม่ว่าจะเป็น เรื่องมุมมองของการทำงาน รูปแบบการทำงาน และการเปลี่ยนในพฤติกรรมการทำงานของสังคมเรา โดยสิ่งเหล่านั้น อาจจะเป็นไปดังนี้
- คำจำกัดความของคำว่า “ทำงาน” จะเปลี่ยนไป
- การทำงานทางไกล หรือการทำงานจากบ้านจะเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นเริ่องปรกติ
- เมื่อมีระยะห่าง ย่อมมีอิสระ การทำงานจากบ้าน จึงสร้างให้คนมีอิสระในการบริหารจัดการตนเองและผลงานมากขึ้น
- ความเชื่อใจจะเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
- การเรียนผ่านโลกดิจิทัลจะได้รับการยอมรับในวงกว้าง
- ความเป็นอยู่ที่ดีของคนจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
- วัตถุประสงค์และเป้าหมายของงานนั้นต้องมาก่อนขั้นตอนการทำงาน
ภาวะผู้นำช่วงวิกฤติและหลังวิกฤติ (Leadership Through Crisis and Beyond)
สถานการณ์การแพร่กระจายของ COVID-19 ทำให้ผู้นำองค์กรหลายคนต้องยอมรับถึงอุปสรรคนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง หลายคนอาจรู้สึกยากลำบาก แต่สำหรับผู้นำที่มีกระบวนความคิดที่ถูกต้องเหมาะสมและมีความสามารถ ก็จะสามารถฝ่าฝันสถานการณ์นี้ไปได้ และทำให้เขากลายเป็นผู้นำที่ดีกว่า สถานการณ์นี้เป็นภาวะแห่งการท้าทายศักยภาพและความแข็งแกร่งของผู้นำ ทัศนคติของเราด้านภาวะผู้นำที่ต้องรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ มีดังนี้
- ความยืดหยุ่นภายใต้ความแข็งแกร่ง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในภาวะที่ธุรกิจถดถอยอย่างหนัก
- ผู้นำที่ปรับตัวเร็วจะแก้ปัญหาได้ดี
- ความโปร่งใส ความจริงใจ และการสื่อสารที่ชัดเจนจะทำให้ชนะใจทุกคน
- สร้างกล้ามเนื้อทางความคิดในการเป็นผู้นำ ด้วยการเป็นผู้ที่เรียนรู้อย่างรวดเร็วและปราดเปรียว
- การสนับสนุนให้อำนาจตัดสินใจและการมีส่วนร่วมของสมาชิกในทีม เป็นการสร้างระบบของความเชื่อใจ
- มองภาพอนาคตในมุมใหม่ และสร้างขึ้นมาร่วมกันกับทีม
- ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ไม่เช่นนั้นจะก้าวตามไม่ทัน
- การเป็นผู้นำที่มั่นคงเด็ดเดี่ยว ก็ต้องอาศัยความเข้าอกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วยเช่นกัน
การเตรียมพร้อมสำหรับการรีบูทธุรกิจ (Getting Ready for a Business Reboot)
ในไม่ช้านี้ธุรกิจต่างๆ ต้องทำการรีบูทอีกครั้งหลังจากปิดไปในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ถือเป็นเรื่องยากมากที่กลับไปสู่ในจุดที่ธุรกิจยืนอยู่ในช่วงก่อนหน้า โดยปราศจากผลกระทบด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และ/หรือ วิธีในการทำธุรกิจ ดังนั้นเพื่อเตรียมพร้อมในการเริ่มต้นธุรกิจอีกครั้ง และไมเนอร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นนี้ เราคาดหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น:
- โลกของการทำธุรกิจเปลี่ยนเป็นรูปแบบออนไลน์ที่ปราศจากการสัมผัสกันโดยตรง
- ธุรกิจต่างๆ ฟื้นตัวกลับมาอย่างช้าๆ และระมัดระวังมากขึ้น
- มีมาตรการที่เข้มงวดในด้านต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกครั้ง
- การตลาด จะเป็นลักษณะการร่วมธุรกิจระหว่างกัน
- แบรนด์มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับทัศนะของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับแบรนด์
- ความเร็วในการทดลองสินค้าและนำออกสู่ตลาดกลายเป็นนิวนอร์ม
กระบวนความคิด และการเรียนรู้เพื่อเพิ่มความสามารถเฉพาะตัว
กระบวนการทางความคิดใดที่จะพาเราก้าวต่อไป?
กระบวนการทางความคิดของผู้นำ มีผลต่อศักยภาพในการตอบสนองในสภาวการณ์ต่างๆ การเปิดกว้างและความคล่องแคล่วว่องไวทางความคิด (Open and Agile Mindset) เป็นสิ่งที่สำคัญในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนนี้ ส่งผลให้ผู้นำเสมือนมีเลนส์ที่กว้างขึ้นและคมขึ้นในการตัดความยุ่งเหยิงและค้นหาโอกาสใหม่ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการขยายกรอบความคิดและการพัฒนาทางความคิด (Expansion and growth mindsets) ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้นำ ระบบความคิดรูปแบบนี้ทำให้ผู้นำก้าวพ้นจากความกลัวไปสู่ความเติบโตทางความคิดได้อย่างมากมาย ถ้าไม่หยุดนิ่ง ระบบความคิดทั้งสองแบบนี้ช่วยเพิ่มอำนาจให้กับผู้นำในการคาดคะเนเรื่องร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น และในขณะเดียวกันการมองโลกในแง่ดีช่วยให้มองได้ชัดเจนถึงเรื่องที่ต้องรับผิดชอบเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ผู้นำจับทิศทางของสิ่งผิดปกติ หรือความคลุมเครือที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ได้
ความปราดเปรียวฉับไว (Sense of Urgency) เริ่มต้นที่ความคิดของเรา ช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดนี้เสมือนเป็นเชื้อเพลิงที่กระตุ้นให้เราเรียนรู้ที่จะตอบสนองและปรับตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ นิวนอร์มเป็นตัวสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นโดยที่ไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤตอื่นใดเพื่อสร้างทักษะในการอยู่รอดนี้
ทั่วโลกกำลังทบทวนถึงเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัย (Hygiene and Safety) ซึ่งได้เปลี่ยนลำดับความคิดจากสิ่งท้ายๆ มาเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง ถ้าเราต้องการที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากลูกค้าอีกครั้งในเวลาอันสั้น จากเมื่อก่อนที่ลูกค้ามักสันนิษฐานว่าทุกที่มีมาตรฐานด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย ปัจจุบันกลับกลายเป็นสิ่งแรกที่ลูกค้าต้องการเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเอง และถ้านี่คือกระบวนความคิดของผู้บริโภค สิ่งเหล่านี้ก็ควรเป็นกระบวนความคิดของเราด้วย ในฐานะผู้ประกอบการเช่นกันการจัดการกับปัญหานี้ เราต้องให้ความสำคัญและใส่ใจลูกค้าเป็นรายบุคคลไป
สุดท้ายนี้สิ่งสำคัญ คือความทรหดอดทน (grit) ตามที่ Angela Duckworth กล่าวว่า ความทรหดอดทน คือส่วนผสมของความยืดหยุ่น ความพยายามมุ่งมั่น และการควบคุมตัวเองเพื่อที่ไปถึงจุดหมายไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ก็ตาม ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกันที่มีเรื่องราวถาโถมเข้ามา แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะตั้งสติโฟกัสกับเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน ย้อนกลับมามองในภาพกว้าง และไม่ใส่ใจกับสิ่งใดก็ตามที่จะให้คุณท้อแท้ และบดบังทางแก้ปัญหาที่มีอยู่
โดยสรุป ปีนี้ผลักให้พวกเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้นำ หรือบุคลากรให้ทบทวน ค้นพบ และปรับตัวเองไปสู่ความปกติรูปแบบใหม่ ยิ่งถ้าเราปรับตัวเองให้ยอมรับสภาวะที่เกิดขึ้นได้เร็วเท่าไหรก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะในอนาคตข้างหน้าเราอาจจะต้องพบกับความปกติรูปแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง อะไรที่ไม่แน่ไม่นอนกำลังรอเราอยู่ สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีคือเราต้องสร้างสังคมที่แข็งแรงที่ช่วยสนับสนุนทั้งบุคลากรและธุรกิจทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน